ATT 28 : เปิดตัวโครงการ Chiangmai Wood

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน 2553


มีการเปิดตัวโครงการ chiangmaiwood ซึ่งเป็นอาณาจักร แห่งการสร้างภาพยนตร์ซึ่งมีศักยาภาพเทียบเท่าระดับโลกในเมืองไทย โดยบริษัท creative kingdom มีคนไทยเป็นหุ้นส่วนอยู่ ซึ่งมีพื้นที่ราว 600 ไร่ ที่ อำเภอ สันกำแพง !!!! จ.เชียงใหม่ซึ่ง ที่นี่จะสร้างให้เป็นโรงถ่ายหนังที่สามารถสู้กับโรงถ่ายหนังระดับโลกอย่าง Hollywood หรือ bollywood ได้เลย ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าหมายจะดึงธุรกิจกองถ่ายทำภาพยนตร์ สารคดี บันเทิงจากทั่วโลก เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทย และเลือก จ.เชียงใหม่ เนื่องจากเห็นว่าเหมาะสมทั้งการเดินทางสะดวก สภาพอากาศ และบุคลากรที่มีความสามารถ ที่สำคัญ คือต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการเลือกผลิตในอินเดีย ฮ่องกง หรือฮอลลีวูด อย่างน้อย 15-20% ซึ่งสามารถรองรับการผลิตได้ 35 โปรดักชั่นต่อปี ซึ่งภายในประกอบไปด้วย สตูดิโอถ่ายทำภาพยนตร์ แบบในร่มจำนวน 8 สตูดิโอ รวมถึง wear house ที่ใช้ในการผลิตครบวงจรดูรายละเีอียดเพิ่มเติมที่
http://www.ckachiangmai.com/new.html
ดูคลิปเปิดตัวที่ http://www.cnxwood.com/



--------------------------------------------------------------------------
เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 53 ผมได้รับเกียรติจากโครงการ CNXWOOD ไปเป็นเเขกในพิธีวางศิลาฤกษ์ เฟสเเรกของซึ่งเป็นโครงการโรงถ่ายภาพยนต์ระดับฮอลลีวูด ที่จังหวัดเชียงใหม่ โครงการนี้ได้เปิดตัวไปที่โรงเเรมโอเรียเต็ลไปเมื่อปีที่เเล้ว และเป็นที่จับตามองของหลายฝ่าย

โครงการนี้เป็นความร่วมมือของบริษัทพัฒนาที่ดินท้องถิ่นและได้รับการสนับสนุนจาก BOI เป้าหมายโครงการนี้คือการสร้างเมืองอันทันสมัยที่เป็นมิตรกับสิ่งเเวดล้อมและชุมชน เป็นโครงการที่จะสร้างผลกระทบให้น้อยที่สุดแก่สิ่งเเวดล้อมแต่ส่งผลประโยชน์ให้เศรษฐกิจภาคเหนือเเละประเทศไทยพัฒนาไปตามเเนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ครับ
จีระ หงส์ลดารมภ์















ATT 27 : เซเว่นไทยคว้าที่ 3 สาขามากสุดโลก

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน 2553

เซเว่นไทยคว้าที่ 3 สาขามากสุดโลก
นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซีพี ออลล์ ผู้บริหารร้านอิ่มสะดวก เซเว่น อีเลฟเว่น เปิดเผยว่า ในครึ่งปีหลังบริษัทเตรียมขยายสาขาใหม่ของร้านเซเว่น อีเลฟเว่นอีก 250 สาขา หลังจากต้นปีขยายสาขาไปแล้ว 250 สาขา ทำให้สิ้นปีนี้มีสาขารวม 5,750 สาขา ส่งผลให้ไทยมีจำนวนมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของเซเว่น อีเลฟเว่นทั่วโลกแล้ว รองจาก ประเทศญี่ปุ่น ที่มีจำนวนสาขามากที่สุด 12,000 สาขา รองลงมาสหรัฐ 6,000 สาขา และแซงหน้าประเทศไต้หวันได้ในปีนี้ที่มีสาขา 4,000 สาขา ส่วนในปี 54 บริษัทเชื่อมั่นว่า จะแซงขึ้นเป็นประเทศที่ 2 ในโลกได้แน่นอน เพราะโอกาสขยายสาขาในไทยยังมีอีกมาก ประกอบกับนโยบายขยายสาขาในไทยแต่ละปีอยู่ที่ 450-500 สาขา ถือว่าการขยายสาขาในไทยประสบความสำเร็จสูงมาก จนบริษัทแม่ในสหรัฐต้องเข้ามาดูแผนการบริหารงานในประเทศไทยเพื่อนำไปศึกษาการบริหารธุรกิจ

สำหรับยอดขายรวมของบริษัทในครึ่งปีแรกเติบโต 10% เป็นผลดีมาจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ฟื้นตัวขึ้น ประกอบกับอานิสงส์จากปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองทำให้ยอดขายสาขาที่อยู่ใจกลางเมืองเพิ่มขึ้น 20% รวมถึงราคาพืชผลทางการเกษตรที่สูงขึ้นด้วยทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคดีขึ้นตามไปด้วย โดยเชื่อมั่นหากสถานการณ์ทางการเมืองไม่มีเหตุวุ่นวายขึ้นอีก จะส่งผลให้สิ้นปีนี้บริษัทมียอดขายรวมเติบโต 10% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 117,760 ล้านบาท.

ที่มา นสพ.คอม http://www.norsorpor.com/ข่าว/r2075543

ATT 26 : วูวูเซล่า(vuvuzela)เสียงสวรรค์หรือเสียงนรก?

วันพฤหัสที่ 17 มิถุนายน 2553

ATT : วูวูเซล่า(vuvuzela)เสียงสวรรค์หรือเสียงนรก?
http://www.rakball.net/overview.php?c=18&id=30467
เห็นบ่นกันจังเลยถึง "แตรมหาประลัย" ที่ชื่อว่า วูวูเซล่า ซึ่งเป็นอุปกรณ์เชียร์ของเจ้าภาพ มีเสียงที่ดังกึงก้องดัง พญาคชสาร วันนี้เรามารู้จักมันให้มากขึ้นดีกว่า

ที่อังกฤษแฟนบอลร้องเพลงข่มขวัญคู่ต่อสู้ ที่บราซิลแฟนนบอลตีกลองแซมบ้า ที่สวิตเซอร์แลนด์แฟนบอลนิยมสั่นกระดิ่ง แต่ที่แอฟริกาใต้เครื่องเป่าที่ชื่อว่า วูวูเซล่า คืออุปกรณ์การเชียร์ฟุตบอลที่พวกเขาขาดไม่ได้
วูวูเซล่า (vuvuzela)หรืออีกชื่อหนึ่งคือ "เลปาตาตา" เป็นเครื่องดนตรีพื้นเมืองประเภทแตร มีความยาวโดยเฉลี่ยอยู่ที่ราว 1 เมตร เริ่มมีการนำมาใช้ในวงการกีฬาของแอฟริกาใต้เป็นครั้งแรกในช่วงทศวรรษที่ 1990 จากการที่กลุ่มกองเชียร์ของสโมสรฟุตบอล " ไกเซอร์ ชีฟส์ เอฟซี" ในลีกของแอฟริกาใต้เริ่มนำมาใช้เป็นอุปกรณ์การเชียร์ทีมรักของตนในสนามฟุตบอล แต่ชื่อเสียงของวูวูเซล่าก็ยังจำกัดอยู่แต่เฉพาะภายในแอฟริกาใต้เท่านั้น จนกระทั่งมันถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายระหว่างการแข่งขันฟุตบอลรายการ " ฟีฟ่า คอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ 2009" ที่จัดขึ้นบนแผ่นดินแอฟริกาใต้เมื่อปีที่แล้วที่ถือเป็นครั้งแรกที่ "แตรนรก" ชนิดนี้ได้แผลงฤทธิ์เขย่าโสตประสาทบรรดากองเชียร์ต่างชาติที่เข้าไปชมเกมในสนามจนทำให้ชาวโลกได้รู้จักมันอย่างเต็มตัวและทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบ รวมถึง เสียงเรียกร้องจากประเทศตะวันตกที่ต้องการให้ทางสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติหรือ "ฟีฟ่า" สั่งแบนการใช้เครื่องดนตรีชนิดนี้ในสนามฟุตบอลเป็นการถาวร

เสียงที่ดังก้องราวกับเสียงร้องจาก "พญาช้างสาร"ของ วูวูเซล่าอาจมีความดังได้สูงสุดถึง 127 เดซิเบล ดังยิ่งกว่าเสียงของกลองยักษ์, เสียงเครื่องตัดหญ้า(90 เดซิเบล)หรือแม้กระทั่งเสียงของเลื่อยไฟฟ้า(100 เดซิเบล)เสียอีก แต่ที่สำคัญพลังเสียงของวูวูเซล่านั้นมันดังกว่าระดับเสียงที่เป็นอันตรายต่อหู ความรุนแรงมากพอถึงขั้นที่อาจทำให้ผู้ที่ได้ยินได้ฟัง "หูดับ" หรืออาจสูญเสียการได้ยินเป็นการถาวรไปเลยทีเดียว

อานุภาพของเจ้าวูวูเซล่า จะทรงพลังที่สุดตอนช่วง 15นาทีสุดท้ายของเกมครับ เพราะแฟนบอลจะเป่าพวกมันพร้อมกันเพื่อ "ฆ่าศัตรู" ให้เหมือนกับนิทานพื้นบ้านที่ว่า "ลิงบาบูนถูกฆ่าด้วยเสียงดังสนั่น"

ได้มีกลุ่มนักเตะ สตาฟฟ์โค้ช หรือแม้กระทั่ง สถาบันต่างๆได้ออกมาต่อต้านถึงการขายเจ้าวูวูเซล่าและห้ามให้นำเข้ามาเป่าในสนาม เพราะจะเป็นการรบกวนสมาธิของนักเตะในระหว่างแข่งขัน

ล่าสุดทางฟีฟ่าได้ออกมาปฏิเสธที่จะแบน "วูวูเซล่า" ออกจากสนาม โดยเซปป์ แบล็ตเตอร์ ประธานฟีฟ่า ได้ให้เหตุผลว่ามันเป็นเสียงของแอฟริกา"วูวูเซล่า กลอง และการร้องเพลง สิ่งเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในเกมฟุตบอลของแอฟริกา มันเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลอง และส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม เพราะฉะนั้นเราจะให้พวกเขาเป่ามันต่อไป"

จะสังเกตุได้ว่านับตั้งแต่เกมเปิดสนมฟุตบอลโลก 2010 ที่เจ้าภาพแอฟริกาใต้ เสมอ เม็กซิโก 1:1จะมีเสียงเจ้า วูวูเซล่าดังกระหึ่มตลอดเกมการแข่งขัน เท่านั้นยังไม่พอในแมตช์อื่นๆที่ทีมของพวกเขาไม่ได้ลงสนาม แต่ด้วยความที่เป็นเจ้าภาพผู้จัดการแข่งขันครั้งนี้ทำให้มีประชาชนชาวแอฟริกาใต้นำเจ้า "แตรมหาประลัย" เข้าไปเป่าร่วมเชียร์กับเขาด้วยโดยเชื่อว่ามันเป็นเสียงสวรรค์ที่จะช่วยให้ทีมของคุณได้รับชัยชนะ และมาร่วมเฉลิมฉลองร่วมกัน แต่ยังไม่ได้ถามเขาเลยว่าเขาต้องการไหม และมันเป็นเสียงสวรรค์อย่างที่พวกคุณคิดจริงๆหรอ ผมว่าเสียงหึ่งๆที่ได้ยินในโทรทัศน์ที่เหมือนเสียงแมลงวัน หรือเสียงผึ้งนั้น มันคือเสียงของนรกมากกว่า(เปิดโทรทัศน์ดูบอลทีไรนึกว่าแมงวันเข้าไปทำรัง)

หลังได้รับเสียงบ่นกันทั่วกับเสียงเป่าแตรวูวูเซล่า (vuvuzela)ทำให้พ่อค้าหัวใสคิดอุปกรณ์ที่ขายดีไม่แพ้กันในการแข่งขันครั้งนี้คือ ที่อุดหู(earplug) มันอาจจะไม่ช่วยให้เสียงเงียบลงเลยทีเดียว แต่ก็ช่วยบรรเทาสุขภาพของหูได้เหมือนกัน เออ....นะ (คิดแบบง่ายๆ ถ้าไม่อยากฟังก็อุดหูไว้สิ)บ่นอยู่ได้......อิอิ

ลองคิดเล่นๆนะ ถ้าเกิดพี่ไทยได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกบ้างจะใช้อุปกรณ์อะไรเชียร์???
ไทยรัฐ : วูวูเซลา : อาวุธลับของเจ้าภาพในเวิลด์ คัพ 2010 ???

วูวูเซลา หรืออีกชื่อหนึ่งคือ "เลปาตาตา" เป็นเครื่องดนตรีพื้นเมืองประเภทแตร มีความยาวโดยเฉลี่ยอยู่ที่ราว 1 เมตร เริ่มมีการนำมาใช้ในวงการกีฬาของแอฟริกาใต้เป็นครั้งแรกในช่วงทศวรรษที่ 1990 จากการที่กลุ่มกองเชียร์ของสโมสรฟุตบอล " ไกเซอร์ ชีฟส์ เอฟซี"ในลีกของแอฟริกาใต้เริ่มนำมาใช้เป็นอุปกรณ์การเชียร์ทีมรักของตนในสนามฟุตบอล แต่ชื่อเสียงของวูวูเซลาก็ยังจำกัดอยู่แต่เฉพาะภายในแอฟริกาใต้เท่านั้น จนกระทั่งมันถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายระหว่างการแข่งขันฟุตบอลรายการ " ฟีฟ่า คอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ 2009" ที่จัดขึ้นบนแผ่นดินแอฟริกาใต้เมื่อปีที่แล้วที่ถือเป็นครั้งแรกที่ "แตรนรก" ชนิดนี้ได้แผลงฤทธิ์เขย่าโสตประสาทบรรดากองเชียร์ต่างชาติที่เข้าไปชมเกมในสนามจนทำให้ชาวโลกได้รู้จักมันอย่างเต็มตัวและทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบ รวมถึง เสียงเรียกร้องจากประเทศตะวันตกที่ต้องการให้ทางสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติหรือ "ฟีฟ่า" สั่งแบนการใช้เครื่องดนตรีชนิดนี้ในสนามฟุตบอลเป็นการถาวร..

" บิลด์" นิตยสารข่าวชื่อดังของเยอรมนีออกมาเปิดเผยผลการศึกษาล่าสุดของสถาบัน "โฟนัก"ที่พบว่าเสียงที่ดังก้องราวกับเสียงร้องจาก "พญาช้างสาร"ของ วูวูเซลาอาจมีความดังได้สูงสุดถึง 120 เดซิเบลซึ่งเป็นระดับที่ดังยิ่งกว่าเสียงของเลื่อยยนต์หรือเสียงของกลองยักษ์เสียอีก พร้อมมีการเตือนว่าพลังเสียงของวูวูเซลานั้นมีความรุนแรงมากพอถึงขั้นที่อาจทำให้ผู้ที่ได้ยินได้ฟัง "หูดับ" หรืออาจสูญเสียการได้ยินเป็นการถาวรไปเลยทีเดียว

หลังจากที่ผลการวิจัยชิ้นนี้ถูกนำออกมาเผยแพร่ต่อสาธารณชนได้ไม่กี่วัน ทางรัฐบาลท้องถิ่นของแคว้น "นอร์ธ ไรน์ -เวสต์ฟาเลีย" ในเยอรมนีถึงขั้นออกมาเรียกร้องให้ฟีฟ่ารีบออกคำสั่งแบนการใช้วูวูเซลาเป็นการด่วนก่อนที่ศึกฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้จะเปิดฉากขึ้น รวมถึง มีการเรียกร้องให้นานาชาติออกกฎห้ามการใช้เครื่องดนตรีพื้นเมืองชนิดนี้ในการแข่งขันกีฬารายการใหญ่ๆของโลกทุกรายการในอนาคตด้วยเช่นกัน

ขณะที่แพทย์ชาวเยอรมนีอีกกลุ่มหนึ่งก็ตบเท้าออกมาสนับสนุนการแบนวูวูเซลาอย่างถาวรเช่นเดียวกัน โดยทีมแพทย์กลุ่มนี้เตือนว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเสียงที่ดังเกินความพอดีของวูวูเซลาควรรีบมาพบแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมงเพื่อตรวจเช็คระบบการได้ยินเป็นการด่วนก่อนที่จะกลายเป็นคนหูเสียตลอดชีวิต

อย่างไรก็ตาม เสียงเรียกร้องดังกล่าวดูเหมือนจะไร้ผล เนื่องจากประธานฟีฟ่าชาวสวิตเซอร์แลนด์อย่างโจเซฟ "เซ็ปป์" แบล็ตเตอร์กลับออกโรงคัดค้านการแบนวูวูเซลาแบบ "หัวชนฝา" พร้อมยืนยันว่าจะไม่มีการแบนวูวูเซลาโดยเด็ดขาด เพราะทางฟีฟ่าตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องเคารพในสิ่งใดก็ตามที่เป็น "วัฒนธรรมพื้นเมือง"ของประเทศสมาชิกฟีฟ่าทั้ง 208 ประเทศอย่างเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นประเทศสมาชิกจากทวีปแอฟริกา เอเชีย หรือยุโรป

ประธานฟีฟ่าให้เหตุผลต่อเรื่องนี้ไว้อย่างน่าฟังว่า "ในเมื่อฟุตบอลโลกเป็นการแข่งขันกีฬาที่ได้รับการกล่าวขานให้เป็นกีฬาของผู้คนทั้งโลก ทางฟีฟ่าก็ไม่ว่าจะมีเหตุผลอันใดที่จะไปสั่งห้ามหรือขัดขวางสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมของชาวแอฟริกัน ด้วยเหตุผลเพียงเพราะว่าสิ่งนั้นไม่เป็นที่ถูกตาต้องใจของพวกชาวยุโรป" พร้อมระบุว่า หากฟีฟ่าสั่งแบนการใช้วูวูเซลาในสนามฟุตบอลขึ้นมาจริงๆ ก็จะต้องมีเสียงเรียกร้องให้มีการแบนเครื่องดนตรีพื้นเมืองอีกหลายชนิดตามมาอีกอย่างไม่สิ้นสุด โดยเฉพาะเครื่องดนตรีพื้นเมือง "กอร์เนตา" ที่มีเสียงดังไม่แพ้วูวูเซลาและใช้กันอย่างแพร่หลายมานมนานในบราซิลและอีกหลายประเทศแถบลาตินอเมริกา

แน่นอนว่าการตัดสินใจของประธานฟีฟ่า วัย 74 ปีรายนี้ย่อมมีทั้งคนที่เห็นด้วยและคัดค้าน แต่อย่างไรก็ตามก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า วูวูเซลาถือเป็นสิ่งที่ผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจมากที่สุดในศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้ นอกเหนือจากสิ่งที่เกิดขึ้นในสนามแข่งขัน และปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า "เครื่องดนตรีมหาภัย" ชนิดนี้จะกลายเป็นหนึ่งในทีเด็ดหรืออาวุธลับที่อาจช่วยพาทีมนักเตะ "บาฟานา บาฟานา" แอฟริกาใต้ ที่เป็นเจ้าภาพให้ผ่านฉลุยเข้าสู่รอบลึกๆในศึกฟุตบอลโลกที่จัดในบ้านเกิดของตัวเองหนนี้ก็เป็นได้.

ATT 25 : วิธีการดูแลรักษาหน้าจอ Touch Screen, วิธีการดูแลรักษาหน้าจอ Touch Screen

วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม 2553

ATT : วิธีการดูแลรักษาหน้าจอ Touch Screen, วิธีการดูแลรักษาหน้าจอ Touch Screen
http://www.nationejobs.com/forum/index.php?s=04bd4687fb50e9098ae257fe8f814676&showtopic=54437

หน้า จอที่นำมาใช้กับ โทรศัพท์มือถือ นั้นมีอยู่หลายชนิด เช่น TFT, CSTN, UFB หรือ TFD เป็นต้น และนอกจากนั้นยังแบ่งได้อีกแบบคือหน้าจอที่สามารถแสดงผลได้เพียงอย่างเดียว กับหน้าจอที่สามารถรับคำสั่งจากผู้ใช้ได้ด้วย ซึ่งนั่นก็คือหน้าจอแบบสัมผัส หรือที่เรียกกันติดปากว่าหน้าจอแบบ Touch Screen นั่นเอง ซึ่งมักจะนำมาใช้กับ โทรศัพท์มือถือ ประเภท PDA Phone เสียเป็นส่วนใหญ่ และมักจะมีขนาดความกว้างของหน้าจอที่มากกว่า โทรศัพท์มือถือ ประเภทอื่นๆ มากพอสมควร

ดังนั้นจึงมีความเสี่ยงต่อความเสียหายได้ง่ายกว่า อย่างไรก็ตามวิธีการดูแลรักษาหน้าจอแบบ Touch Screen เบื้องต้นที่พึงจะทำ ก็ไม่ยากจนเกินไป ซึ่งมีดังต่อไปนี้

1. ควรติดแผ่นใสกันรอยที่ผลิตขึ้นมาสำหรับใช้กับหน้าจอของ โทรศัพท์มือถือ โดยเฉพาะ เท่านั้น เพื่อป้องกันรอยขีดข่วน แรงกดจากสิ่งที่มาสัมผัส สิ่งสกปรก หรือความชื้น และไม่ควรใช้แผ่นพลาสติกสูญญากาศที่ผลิตขึ้นมาสำหรับติดแผ่นป้ายทะเบียนของ รถยนต์ เนื่องจากมีคุณภาพไม่เพียงพอสำหรับการนำมาติดหน้าจอของ โทรศัพท์มือถือ

2. ผ้าที่ใช้เช็ดทำความสะอาดหน้าจอ ควรใช้ผ้าที่ไม่มีขน หรือผ้าเช็ดแว่นที่อ่อน

3. หากต้องการใช้น้ำยา เพื่อให้มีความสะอาดยิ่งขึ้น ก็ควรใช้น้ำยาที่ใช้สำหรับเช็ดหน้าจอ Touchscreen เท่านั้น ไม่ควรใช้น้ำยาประเภทอื่น เช่น น้ำยาทำความสะอาดเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือแอลกอฮอล์

4. ควรหลีกเลี่ยงการทำตก หรือการกระแทกเป็นอย่างยิ่ง และถ้าจะให้ดี ก็ควรจะนำเครื่องใส่ซอง ปลอก สายคล้องคอ หรือกรอบหุ้มแบบซิลิโคน เอาไว้เสมอ เพื่อบรรเทาความเสียหายหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด

5. ไม่นำเครื่องวางไว้ ณ สถานที่ๆ มีอุณหภูมิสูง ยกตัวอย่างเช่น ในรถยนต์ที่จอดทิ้งไว้กลางแดดเป็นต้น และถ้าเป็นไปได้ไม่ควรนำเครื่องไปอยู่ในสถานการณ์ที่มีอุณหภูมิเปลี่ยน แปลงอย่างรวดเร็ว เช่นจากที่อบอยู่ในกระเป๋ากางเกงกลางแดดร้อนๆ แล้วเข้าไปยังห้องแอร์เย็นเฉียบโดยทันที เนื่องจากหน้าจออาจจะปรับสภาพไม่ทัน จนทำให้เกิดรอยร้าว หรือแตกได้

6. หากหน้าจอโดนน้ำ ควรนำผ้าดังข้อที่ 2 มาทำการรีบซับน้ำเบาๆ โดยทันที ไม่ควรถูแรงๆ เนื่องจากอาจจะทำให้หน้าจอเป็นรอยขีดข่วนได้ และไม่ควรเอาไดร์เป่าผมมาเป่าให้แห้งโดยเด็ดขาด เนื่องจากเสี่ยงต่ออาการหน้าจอบวม ซึ่งค่าซ่อมคงจะไม่ใช่น้อยๆ อย่างแน่นอน

ที่มา : teenee.com

ATT 24 : รถถูกชน หน้า Seven

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม 2553

ขับรถออกมาจะไปส่งคุณยายที่ร้านทำผมคุณรุจา
แต่ออกมาได้แค่หน้าหมู่บ้าน หน้าร้าน Seven
ทั้งที่จอดอยู่ยังไม่ทันได้ออกรถเลย มาชนท้าย ซะงั้น
แถมยังไม่มีประกันอีกต่างหาก มีแค่ พรบ. เอง
ก็ต้องให้ประกัน กรุงเทพประกันภัยมาเคลียร์ให้
เสียเวลาไป 1 ช.ม. เลย
ส่วนความเสียหาย Sencer ทะลุกันชนท้ายออกมาเลย
ต้องเปลี่ยน Sencer และซ่อมกันชนท้าย









ATT 23 : IPhone 4

วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2553

ATT : IPhone 4
เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. ในงาน The Apple Worldwide Developers Conference (WWDC) 2010 สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) ผู้บริหารบริษัท แอปเปิ้ล ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เปิดตัวโทรศัพท์มือถือ iPhone รุ่นใหม่ iPhone 4 แล้วพร้อมกับระบบปฏิบัติการใหม่ OS4 หลังจากที่เคยสร้างค่านิยมใหม่ในการใช้โทรศัพท์มือถือระบบสัมผัส ด้วยการเปิดตัว iPhone 3G และ iPhone3Gs ไปเมื่อปีก่อน

โดย iPhone รุ่นใหม่นี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ไปจากเดิมที่เป็นทรงโค้งมน เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมเรียบ ๆ และ iPhone 4 เพิ่มออปชั่นที่คนไทยรอคอยนั่นก็คือ กล้องด้านหน้า สำหรับการคุยแบบเห็นหน้า ผ่านแอพพลิเคชั่น Facetime และเพิ่มแสงแฟลชในการถ่ายรูป

นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มพิกเซลของกล้อง iPhone 4 ขึ้นเป็น 5 ล้านพิกเซล ซูมเข้า-ออกได้ถึง 5 เท่า อีกทั้งยังมีไมค์ 2 ตัวที่มีระบบตัดสัญญาณรบกวนอีกด้วย เทคโนโลยีความละเอียดสูง (High-definition) ก็ถูกใส่เข้ามาให้เจ้า iPhone 4 มีประสิทธิภาพในการถ่ายวิดีโอได้คมชัดขึ้น รวมทั้งปัญหา iPhone แบตหมดเร็วก็ถูกแก้ไขด้วยการใช้ชิป A4 ที่เป็นระบบจัดการพลังงานที่ดีขึ้น สามารถใช้แบตเตอรี่ได้ยาวนานขึ้นด้วย

อีกทั้งแอปเปิ้ลยังเพิ่มแผ่นแก้วใสเคลือบหน้าจอ โดยใช้วัสดุแบบเดียวกับกระจกของเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งแข็งกว่าพลาสติก 30 เท่า จึงทนต่อรอยขีดข่วนมากกว่าเดิม และยังเคลือบสารกันรอยนิ้วมือไม่ให้เป็นคราบง่ายอีกด้วย

สำหรับ iPhone 4 นี้ จะเริ่มวางจำหน่ายที่สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และญี่ปุ่น ในวันที่ 24 มิ.ย. และทั่วโลกในช่วง เดือน ก.ย. ซึ่งสนนราคา iPhone 4 ความจุ 16GB อยู่ที่ 199 เหรียญฯ และ iPhone 4 ความจุ 32GB อยู่ที่ 299 เหรียญฯ (หมายเหตุ : ราคา iPhone 4 ดังกล่าวเป็นราคาที่ติดสัญญาการใช้งานในเครือข่ายที่สหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 2 ปี) โดย iPhone 4 มีให้เลือก 2 สี คือสีขาว และสีดำ

จุดเปลี่ยนแปลงของ iPhone 4
-เปลี่ยนรูปทรงจากโค้งมน เป็นทรงสี่เหลี่ยมแบบเรียบ
-บางลงกว่า iPhone เดิม โดย iPhone 4 เหลือเพียง 9.3 มิลลิเมตร และทุบสถิติบางที่สุดในโลก
-เคลือบหน้าจอด้วยแก้วใส ชนิดเดียวกับกระจกเฮลิคอปเตอร์ เพื่อป้องกันรอยขีดข่วน
-เคลือบสารกันรอยนิ้วมือไม่ให้เป็นคราบที่หน้าจอง่าย
-ระบบปฏิบัติการใหม่ OS4 ที่เปิดแอพพลิเคชั่นได้พร้อมกันถึง 7 ตัว (Multitasking) และเปิดให้แยกโฟลเดอร์ได้เหมือนในคอมพิวเตอร์
-ใช้ระบบประมวลผล A4 แบบเดียวกับ iPad ทำให้ iPhone 4 ใช้งานได้นานขึ้น โดย iPhone 4 สามารถเล่นอินเทอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi ได้นาน 10 ชั่วโมง และสแตนด์บายได้นาน 300 ชั่วโมง
-เทคโนโลยีจอภาพแบบใหม่ ที่แสดงผลได้ดีกว่าเดิม 4 เท่า
-iPhone 4 มีกล้องด้านหน้า สำหรับวิดีโอคอล
-iPhone 4 เพิ่มความคมชัดของกล้องเป็น 5 ล้านพิกเซล
-iPhone 4 เพิ่มแฟลช LED เพื่อสะดวกในการถ่ายรูปในที่ที่มีแสงน้อย
-iPhone 4 เพิ่มระบบ Dual Mic และตัดสัญญาณรบกวน
-iPhone 4 เพิ่มแอพลิเคชั่นใหม่ ๆ ที่ต่างจาก iPhone เดิมมากมาย
-iPhone 4 มีแอพพลิเคชั่น iBook ที่สามารถอ่านหนังสือได้เหมือนใน iPad
-iPhone 4 เปลี่ยนพื้นหลังได้โดยไม่ต้อง Jailbreak
-iPhone 4 เพิ่มเซิร์ทเอนจิ้น Bing เข้ามาเพิ่มจาก Google และ Yahoo
-iPhone 4 สามารถอ่านไฟล์ PDF ได้แล้ว
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก live.gdgt.com














ATT 22 : เมื่อนักข่าวมาเป็นเถ้าแก่ดอทคอม

วันพฤหัสที่ 10 พฤษภาคม 2553

เมื่อนักข่าวมาเป็นเถ้าแก่ดอทคอม
ชีพธรรม คำวิเศษณ์
thaiventure.com

จากประสบการณ์และข้อมูลที่เก็บสะสมมาตลอด 3 ปีของการเป็นผู้สื่อข่าว อดีตนักข่าวของสำนักข่าวไทยผู้นี้ กำลังจะผันตัวเองจากลูกจ้างไปเป็น "เถ้าแก่" ในธุรกิจดอทคอม

"ผมลาออกแล้ว จะมาทำธุรกิจส่วนตัว" เขาบอกกับผู้บริหารของบริษัท venture capital คนหนึ่งสั้นๆ ในงานพบปะระหว่างนักธุรกิจดอทคอมกับ venture capital ซึ่งครั้งนี้ชีพธรรม คำวิเศษณ์ไม่ได้มาร่วมงานในฐานะของผู้สื่อ ข่าวเหมือนเช่นเคย แต่เขามาในฐานะของผู้ที่กำลังเป็นเจ้าของธุรกิจดอท คอม

ก่อนหน้านี้ ชีพธรรมทำงานเป็นผู้สื่อข่าวให้กับสถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. ทำรายการวิทยุไอที 100.5 และเป็นพิธีกรในรายการด้านไอที ช่วง เช้าตรู่ของช่อง 9 มาเป็นเวลาเกือบ 3 ปีเต็ม

ในฐานะของผู้สื่อข่าว ทำให้เขาต้องติดตามความเคลื่อนไหวข่าวสารใหม่ๆ ตลอดเวลา เพื่อนำเสนอข้อมูลใหม่ๆ ให้กับผู้ฟัง ยิ่งในโลกของอินเทอร์เน็ตด้วยแล้ว การติดตามข่าวสารให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่อง ที่จำเป็นมาก

"จัดรายการวิทยุ ทำให้ผมรู้เยอะมาก เพราะรายการมีเวลาให้ถึง 2 ชั่ว โมง ทุกวันผมต้องหาข้อมูล ต้องอ่ านหนังสือเยอะ ฟอร์จูน บิสซิเนสวีค ซึ่ง เขาจะนำเสนอข่าวเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตมาสรุปให้คนอ่านฟัง เพื่อให้เขาได้รับรู้ข้อมูลใหม่"

การรับรู้เรื่องราวของ venture capital ก็เกิดขึ้นภายในกระบวนการหาข้อมูล เพื่อการทำข่าวเหล่านี้ เนื้อหาในหนังสือต่างประเทศมีรายงานข่าวเกี่ยวกับบทบาทของ venture capital ที่มีต่อธุรกิจดอทคอมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับ ที่เว็บไซต์ sanook. com ของปรเ มศวร์ มินศิริ ก็เพิ่งถูก บริษัทเอ็มเว็บ ประเทศไทยซื้อไป ทำให้ชีพธรรม เริ่มเสาะแสวงหาคำตอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง "เพราะอย่างที่รู้กัน yahoo เองก็มี venture capital เป็นคนให้เงินทุนมาก่อน ที่จะเติบโตมาได้ขนาดนี้ ช่วงนั้น มีธุรกิจอินเทอร์เน็ตใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ผมก็เริ่มเห็นแล้วว่า venture capital เป็นยังไง ก็มาศึกษาเกี่ยวกับการทำ business plan ว่าเขาทำยังไง"

ใครจะรู้ว่า ด้วยข้อมูลที่เขาสะสมมา และประสบการณ์เหล่านี้จะกลายเป็นช่องทาง ที่ทำให้ชีพธรรมก้าวไปสู่การเป็น "เถ้าแก่" ในธุรกิจดอทคอม ที่เปิดกว้างเสมอสำหรับคนที่มีไอเดียที่ดี ไม่จำเป็นต้องมีเงินทุนก้อนใหญ่ เป็นโอกาส ที่โลกธุรกิจใบเก่าไม่มี

ชีพธรรมเริ่มมาพบว่า ด้วยข้อจำกัดในเรื่องกฎระเบียบของการเป็นองค์กรราชการของช่อง 9 ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการสร้างสรรค์งานใหม่ๆ รวมถึง เหตุผลในเรื่องของเงินเดือนข้าราชการที่น้อยมาก โอกาส ที่เขาจะสร้างเนื้อสร้างตัวในอาชีพนักข่าวจึงเป็นเรื่องยาก ทำให้ชีพธรรมต้องเลือกเส้นทางใหม่

สิ่งที่เขาค้นพบก็คือ ข้อมูลกับการมาของ venture capital และประสบการณ์ ที่เขาได้ตลอด 3 ปีเต็ม คือ คำตอบของการก้าวไปสู่การเป็นเถ้าแก่ในธุรกิจดอทคอม

"คนที่มางาน angle night ทั้งหมด คือ ลูกค้าของผม" คำกล่าวของ ชีพธรรม ที่ยกตัวอย่างถึงกลุ่มลูกค้าในอนาคต

สิ่งที่เขาได้รับรู้จากข้อมูลที่แล้วมา ก็คือ บริษัทดอทคอม ที่กำลังเกิดขึ้น อีกมากมายในตลาดเมืองไทย เหมือนอย่างที่เคยเกิดในต่างประเทศ ซึ่งเขา จะมีส่วนร่วมในคลื่นลูกใหม่นี้

เว็บไซต์ thaiventure.com เป็นชื่อโดเมนเนม ที่ชีพธรรมไปจดไว้ตั้งแต่ปี 2541 ช่วง ที่เขาเริ่มศึกษาเกี่ยวกับ venture capital ใหม่ๆ และเป็นชื่อ ที่เขาจะใช้ในการประกอบธุรกิจ ซึ่งชีพธรรมได้รวบรวมสมัครพรรคพวกน้องชาย เพื่อนฝูงอีก 6 คนที่เป็นคนหนุ่มมีประสบการณ์ในธุรกิจอินเทอร์เน็ตมาร่วมกันจัดตั้งเป็นบริษัท

ความตั้งใจของชีพธรรม คือ ต้องการทำให้เว็บไซต์นี้ เป็นจุดที่จะเชื่อมโยงผู้ประกอบการของไทย โดยเฉพาะรายย่อยกับแหล่งเงินทุนในต่างประเทศ ซึ่งเป็นไอเดีย ที่เขาได้มาจาก garage.com ในต่างประเทศ ที่ให้ข้อมูลแก่ผู้ประกอบการในการที่จะหา venture capital

เนื้อหาในเว็บไซต์นี้ นอกเหนือจากจากข่าวสารทั่วไป ที่เป็นข่าวเกี่ยวกับ ไอที เป้าหมายหลักของเว็บไซต์นี้ คือ การเป็นเสมือน tool อย่างหนึ่ง ที่ให้ผู้ประกอบการเป็นห้อง Netrepreneurs room ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการปรับมุมมอง กับการเปิดรับ vc เข้ามาลงทุน เช่น แบบทดสอบของความเป็นผู้ประกอบการ หรือตัวอย่างของ business plane แบบออนไลน์ให้ลองทำ รวมถึงการรวบรวมรายชื่อของบรรดาธุรกิจ start up ที่มาลงทะเบียนพร้อมกับรวบรวม ที่ปรึกษา ที่จะช่วยแนะนำ

เนื้อหาอีกส่วน จะเป็นเรื่อ งของ Investor room จะเป็นกิจกรรมเกี่ยวกับนักลงทุน มีรายชื่อของ vc ที่ลงทะเบียน กับ thaiventure.com รวมถึง บริการข้อมูลรายชื่อ ที่เกี่ยวกับธุรกิจที่ปรึกษาด้านบริหารธุรกิจที่ปรึกษาด้าน บัญชี ธุรกิจ ประกันภัย ธุรกิจประชาสัมพันธ์ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และ ทำเว็บไซต์

กลุ่มเป้าหมายของเขาคือ เด็กนักเรียนอายุ 15 ปี จนถึงระดับมหาวิทยาลัย รวมถึงบรรดาผู้ประกอบธุรกิจ SME ที่มีไอเดียดีๆ ที่ต้องการนำไอเดียไปพัฒนา

"เราจะเป็นตัวกลาง เป็นแหล่งข้อมูลให้กับผู้ประกอบการรายย่อย และ venture capital ที่จะเข้ามาหาข้อมูล เพื่อ ที่จะลงทุนในไอเดียใหม่ๆ หรือ นักศึกษา ที่มีไอเดียดีๆ และเมื่อดีลเกิดขึ้น เกิดธุรกิจดอทคอมขึ้นมา เราจะได้มีรายได้จากโฆษณา และรายได้ต่อเนื่อง ที่กลับเข้ามา"

ชีพธรรมรู้ดีว่า สิ่งที่น่าวิตกที่สุดของธุรกิจดอทคอม คือ มีแต่ไอเดีย แต่ไม่มีทางทำเงินได้ การหารายได้จากโฆษณาเว็บไซต์ จึงไม่ใช่เป้าหมายของเขา

โมเดลธุรกิจ ที่เขาสร้างขึ้นจึงไม่ใช่เรื่องของการแสวงหารายได้จากธุรกิจบนเว็บไซต์โดยตรง แต่เว็บไซต์ thaiventure.com จะเป็นเพียง "สื่อ" หนึ่งของการเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้น จำเป็นต้องมีสื่อเก่ามาร่วมด้วย

"ยังไงก็ตาม สื่อเก่าก็ยังต้องมีบทบาทเหมือนเดิม ยังไงๆ ธุรกิจดอท คอมเมื่อเกิดขึ้น ก็ต้องอาศัยสื่อเก่าในการโฆษณา และประชาสัมพันธ์อยู่ดี มันเป็นปรากฏการณ์ ที่เห็นได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ โฆษณาทีวี หรือ วิทยุ ที่มีโฆษณาดอทคอมเพิ่มขึ้นมาก"

ชีพธรรมจะใช้ประสบการณ์ดั้งเดิมของเขาในการเช่าเวลาสถานีวิทยุ คลื่น 104 เพื่อจั ดรายการวิทยุ เป็นอีก "สื่อ" หนึ่งเกี่ยวกับไอที และ venture capital จะจัดทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมงเต็ม รายได้จากโฆษณา ที่ได้จากการทำรายการ วิทยุ นำมาใช้หล่อเลี้ยงเว็บไซต์อีกครั้งหนึ่ง รวมถึงบริการรับจดโดเมนเนมให้เช่า hosting ซึ่งเขาเชื่อว่า เป็นธุรกิจ "ต้นน้ำ" ของอินเทอร์เน็ต ที่จะมาช่วยสร้างรายได้

นอกจากนี้ กิจกรรม ที่เขาจะทำควบคู่ไปกับการทำ "สื่อ" บนเว็บ และ วิทยุก็คือ การจัดสัมมนาตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อกระตุ้น ให้เกิดไอเดียใหม่ๆ และเป็นตัวกลางในการประสานงานระหว่าง venture capital และไอเดียแมนเหล่านี้

จะว่าไปแล้ว แนวความคิดของชีพธรรม ไม่แตกต่างไปจากเทคแ ปซิฟิก ของฮ่องกง ที่ทำธุรกิจเป็นตัวกลางในการที่จะกลั่นไอเดียให้เป็นเงิน เป็นตัวกลางให้ไอเดียแมนได้พบกับ venture capital และเมื่อมีการลงทุนเกิดขึ้น สิ่งที่เทคแปซิฟิกได้รับ ก็คือ ส่วนแบ่งจากค่าธรรมเนียมของการเป็นตัวกลางของดีล ที่เกิดขึ้น

"ถ้าเป็นในแง่ของ venture capital เราก็เป็นคนกลั่นกรองไอเดียเหล่านั้น ให้เขาขั้นหนึ่งก่อนว่า ไอเดียเหล่านี้ดีแค่ไหน จากนั้น เป็นเรื่องของ venture capital ที่จะไปตัดสินใจ ซึ่งถ้าเขาลงทุนเราจะได้เปอร์เซ็นต์มาบางส่วน"

ไอเดียใหม่ๆ ที่เขาจะได้มานั้น จะมาจากเด็กนักศึกษาตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วเมืองไทย ซึ่งเขาเชื่อว่า จะยังมีไอเดียที่ดีอยู่อีกมาก และ เขาจะเป็นตัวกลางในการดึงเอาไอเดียแมนเหล่านั้น มาทำให้เกิดเป็นธุรกิจได้จริง

ชีพธรรม เริ่มต้นธุรกิจด้วยมือเปล่า เงินสะสม ที่มีอยู่ต้องใช้หนี้ให้กับ อ.ส.ม.ท. ที่เขากู้เงินไป เงินทุนก้อ นแรก 50,000 บาท ที่ใช้ในการเริ่มต้นธุรกิจ ชีพธรรมได้มาจาก "คนรู้จัก" เงินก้อนนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น สิ่งที่ชีพธรรมต้องทำต่อ ก็คือ การหา venture capital และหากทำได้สำเร็จ นอกเหนือจากเ งินทุน ที่ได้มาใช้ในการสร้างธุรกิจ ประสบการณ์นี้จะเป็นใบเบิกทาง ที่จะใช้ในการทำธุรกิจได้โดยตรง

ชีพธรรมเชื่อมั่นว่า จากประสบการณ์ และ connection จะทำให้เขานำพาธุรกิจไปได้ตลอดรอดฝั่งได้ไม่ยากนัก

แต่หากไม่ประสบความสำเร็จ สำหรับชีพธรรมแล้ว ก็คือ การกลับ ไปเขียนหนังสือ โดยใช้ประสบการณ์จากความล้มเหลวเป็นวัตถุดิบในการทำ หนังสือขายอีกที เวลาเท่านั้น จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า อดีตนักข่าววัย 2 8 ปีผู้นี้ จะเป็นเถ้าแก่ธุรกิจดอทคอม หรือกลับไปนั่งเขียนหนังสือขาย

อายุ 28 ปีการศึกษา ปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพประสบการณ์ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทย เป็นเวลา 3 ปีเต็มเว็บไซด์ thaiventure.comลักษณะธุรกิจ บริการข้อมูลและที่ปรึกษาเกี่ยวกับการหา venture capitalหนังสือที่อ่าน ฟอร์จูน บิสซิเนสวีค และหนังสือต่างประเทศที่เกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต และเทคโนโลยีเริ่มเล่นอินเตอร์เน็ต ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย