ATT 13 : ปัญหาความเป็นส่วนตัวใน Facebook

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม 2553

ATT : ปัญหาความเป็นส่วนตัวใน FaceBook
เมื่อวานได้มีการคุยกับพี่ที่เล่น FaceBook อยู่ ถึงเรื่องความเป็นส่วนตัวของการเล่น FaceBook แล้วพอดีได้เจอบทความนี้ จึงเอามาPost ไว้อ่าน
1. ปัญหาความเป็นส่วนตัวใน Facebook กับข้อความเก่าของ Mark Zuckerberg
2. Facebook คิดค้นดัชนีชี้วัดความสุข
3. Social Media กับชีวิตส่วนตัวที่ต้องเสียไป


-----------------------------------------------------------------

Link - http://www.blognone.com/node/16301
ปัญหาความเป็นส่วนตัวใน Facebook กับข้อความเก่าของ Mark Zuckerberg
Submitted by mk on 15 May 2010 - 07:45 tags: FacebookPrivacySocial Network

ระยะหลัง ประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวบน Facebook ถูกพูดถึงในสื่อต่างประเทศมาก เพราะ Facebook พยายามกำหนดค่า default ให้ผู้ใช้เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวสู่สาธารณะมากขึ้นเรื่อยๆ (ดูแผนภาพเปรียบเทียบความเป็นส่วนตัวของ Facebook ระหว่างปี 2005 กับ 2010)

ล่าสุดประเด็นนี้ยิ่งร้อนแรง เพราะสำนักข่าว Business Insider ได้เผยแพร่ "ข้อความที่อ้างว่าเป็น IM" ของ Zuckerberg เมื่อ 7 ปีก่อน (สมัยที่เขายังอายุ 19 และเพิ่งสร้าง Facebook ใหม่ๆ) โดยการสนทนาครั้งนั้น Zuckerberg อวดเพื่อนของเขาว่า เขามีอีเมล ภาพ ที่อยู่ ของนักศึกษา Harvard กว่า 4,000 คน ถ้าอยากได้เขายินดีส่งให้

ฝั่ง Facebook เองก็ออกแถลงการณ์โต้ว่า บริษัทมุ่งมั่นจะรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้อย่างเต็มที่ และจะไม่สนใจโต้เถียงกับผู้ที่ต้องการทำลายชื่อเสียงของ Zuckerberg นอกจากนี้มีรายงานข่าวว่า Facebook ได้เรียกประชุมพนักงานทุกคนเป็นการด่วน เพื่อถกประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัว ให้พนักงานเข้าใจตรงกัน

ระหว่างนี้ผู้ที่เป็นห่วงเรื่องความเป็นส่วนตัวใน Facebook ต้องดูแลตัวเองกันไปก่อนครับ ดูวิธีการเซ็ต (อันแสนซับซ้อน) ได้จาก Business Insider (ไม่จำเป็นต้องทำตามทั้งหมด แต่รู้ไว้ก็ดีกว่าไม่รู้เรื่องเลย ว่า Facebook เอาข้อมูลอะไรของเราไปปล่อยบ้าง)

ที่มา - Business Insider, TechCrunch


Submitted by illusion on 15 May 2010 - 14:56. (#177828)
ผมล่ะเกลียด FB มากเรื่องความเป็นส่วนตัว (แต่ก็ยังใช้อยู่ - -") อยากเล่าสิ่งที่เจอมา

สมมติว่านาย A มีภาพลับที่ไม่อยากให้ใครเห็น นาย A คงไม่อัพขึ้นไปเด็ดขาด ทว่า... มีเพื่อนชื่อ B มาอัพภาพรูปนั้นของ A ขึ้นเอาฮาให้ดูกันในกลุ่ม แต่เพื่อน B ก็ใจดี ไม่แท็กชื่อ A หรอก เพราะถ้ารู้ว่าแท็กแล้วมันจะขึ้นหน้าแรกของนาย A ...แต่ถึงไม่แท็ก เพื่อนในกลุ่มก็เข้าไปดูกันได้ (เฉพาะ friend ของ B) ซึ่งแค่ดูกันในกลุ่มก็ไม่เป็นไร นาย A ไม่อาย

จริงๆ ก็คงไม่มีอะไรพาดพิงถึง A เลย เพราะไม่แท็กชื่อนาย A ภาพคงไม่รั่วออกมานอกกลุ่ม (คือคนที่ไม่ได้เป็น friend ของ B ที่ลงรูปไว้) เผอิญด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ นาย A เข้าไปเม้นภาพของตัวเองที่อยู่บน FB ของนาย B ปรากฏว่าเฟสบุคทำแสบ แค่พอไปเม้น เฟสบุ็คมันเล่นส่ง Recent Activity ที่เป็นภาพชุดนั้นไปให้กับเพื่อนของนาย A "ทุกคน" ไปประจานกันใน News Feed ของเพื่อนนาย A ทุกๆ คนกันเลยทีเดียว ภาพรั่วออกมานอกกลุ่มได้ซะงั้น

นาย A โมโหมาก แต่คิดว่าตัวเองสะเพร่าเรื่องเซ็ตค่า Privacy เองรึเปล่า เลยเข้าไปดูการตั้งค่า ปรากฏว่ามันโครตซับซ้อนเลยฟระ หาข้อมูลไปมาปรากฏว่า.. เมื่อก่อน FB สั่งปิดโชว์ Recent Activity ได้ จะเข้าไปเม้นใคร ก็เป็นส่วนตัว แต่หลังๆ FB บังคับโชว์ Recent Activity หมด เราจะไปเม้นใครก็ไม่เป็นส่วนตัวอีกต่อไป แถมดันเอาหน้าที่เราไปเม้นพร้อมรูป ไปโชว์เพื่อนๆ คนอื่นของเราผ่าน news feed อีกต่างหาก

ไม่รู้ว่า facebook คิดอะไรอยู่กับเรื่องความเป็นส่วนตัว นับวันยิ่งบังคับให้เปิดเผย ซึ่งไม่รู้ว่าทำให้อะไรดีขึ้นบ้าง หรืออยากให้คนใช้น้อยลง? เท่าที่ดูก็มีฝรั่งด่าเรื่องนี้ไม่น้อยเหมือนกัน

เลยฝากเตือนนะครับ จะเข้าไปเม้นใคร ไม่เป็นส่วนตัวเลยนะ แถมตั้งค่าปิดไม่ได้ด้วย


Submitted by Pinery on 15 May 2010 - 20:43. (#177870)
เรื่องที่คุณ illusion เล่านั้นมันเป็นอะไรที่มากกว่านั้นครับ ผมเคยเจอมาช่วงนึง (แค่ช่วงเดียวครับ ตอนนั้น FB มีปัญหา Privacy ขั้นรุนแรง ตอนนี้เปลี่ยนไปในแบบที่คุณ lancaster ว่าไว้แล้วครับ)

คือช่วงนั้น friends เราไม่ว่าจะทำไร เรา"เห็นหมด"ครับ ช่วงนั้นหน้า New Feeds รกมากกกก เห็นกิจกรรมเพื่อน"ทุกอย่าง" (แต่ก็ดี แอบเห็นเพื่อนสาวๆเม้าท์อะไรกันกับคนที่ไม่ใช่ friends เรา อิอิ [แอบเลวละ])

คือตอนนั้นมันเปิดมากจนน่าตกใจ ผมไปเห็นเพื่อนผมเม้นท์รูปของ friend เค้า (ที่ไม่ใช่ friend เรา) และเราสามารถเข้าไปดูได้ทุกรูป ทุก comment ของเพื่อนเขาจากหน้า home ผมได้เลย ผมก็เลยรีบบอกเพื่อนว่า แกไปเม้นท์อะไรแบบนั้น มันก็ตกใจรู้ได้ไง ผมก็เลย capture screen ไปให้มันดู มันยังตกใจเลยครับ (พวกนี้ไม่ได้อยู่ใน recent เลยนะครับ มันมาโผล่ใน home ผมหมดเลย ทุกกิจกรรมของเพื่อน โผล่หมดไม่ได้เฉพาะ wall ของเพื่อนผม) เพื่อนผมกด like ใครหน้าไหน เม้นท์ไหน เราก็เห็นหมดอ่ะ (เห็นแม้กระทั่ง status update ที่เพื่อนผมไปกด like ของเพื่อนเขาโดยที่เราไม่ต้องคลิกเข้าไปดูอะไรทั้งนั้น)


Related Stories - http://www.blognone.com/node/13483
Facebook คิดค้นดัชนีชี้วัดความสุข
Submitted by beum on 11 October 2009 - 06:45 tags: FacebookSocial Network
Facebook ได้สร้างดัชนีผลมวลรวมแห่งความสุข (Gross National Happiness Index) ซึ่งจะใช้ถ้อยคำด้านบวกและด้านลบในสถานะของผู้ใช้ Facebook เพื่อประเมินสภาพทางจิตใจหรืออารมณ์ของชาวอเมริกัน

บล็อกทางการของ Facebook ระบุว่า "ในแต่ละวัน การปรับปรุงสถานะโดยผู้ใช้ Facebook เป็นการแสดงออกให้คนที่เขารักรับรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร จึงเป็นเหมือนกระจกสะท้อนสภาพทางจิตใจของพวกเขา และเมื่อนำมารวมกัน ก็จะได้เป็นดัชนีซึ่งบ่งชี้ให้เห็นถึงสภาพทางจิตใจของพวกเราทุกคน"

ดัชนีดังกล่าวยังใช้ได้เฉพาะในภาษาอังกฤษเนื่องจากในปัจจุบันมีผู้ใช้ Facebook จากสหรัฐอเมริกาถึง 87 ล้าน (ตัวเลขเดือนมิถุนายน 2552) จากผู้ใช้ทั้งหมดทั่วโลก 300 ล้านคน อย่างไรก็ดี Facebook อยู่ระหว่างการพิจารณาเพิ่มความสามารถดังกล่าวให้กับภาษาอื่นๆ ในอนาคต

ในการกำหนดค่าดัชนี Facebook ได้ร่วมงานกับนักจิตวิทยาเพื่อจัดทำฐานข้อมูลถ้อยคำที่แสดงออกถึงสภาวะทางอารมณ์ไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำในด้านบวก (ความสุข) หรือด้านลบ (ความทุกข์) ตัวอย่างถ้อยคำด้านบวก มี "happy" (สุข) "yay" (เจ๋ง) และ "awesome" (เยี่ยม) ในขณะที่ด้านลบมี "sad" (เศร้า) "doubt" (ไม่แน่นอน/สงสัย) และ "tragic" (สลดใจ)

ข้อมูลอีกอย่างที่น่าสนใจคือ ในช่วงเทศกาลวันหยุดหรือโอกาสพิเศษ อาทิ วันขอบคุณพระเจ้า, วันฮาโลวีน, วันชาติอเมริกัน, วันอีสเตอร์ หรือวันคริสต์มาส ดัชนีดังกล่าวจะถีบตัวขึ้นสูงโดยอัตโนมัติ โดยวันที่ 5 พฤศจิกายน 2551 คือวันที่นาย Barack Obama ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี ดัชนีได้พุ่งขึ้นสูงที่สุดเป็นประวัติกาล

สำหรับวันที่ดัชนีได้ลดลงต่ำที่สุดคือ วันที่หุ้นในทวีปเอเชียตกท่ามกลางวิกฤตทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นวันเดียวกับที่นักแสดงชื่อดัง Heath Ledger เสียชีวิตลง (22 มกราคม 2551) โดยมีวันที่ 25 มิถุนายน 2552 คือวันที่นักร้องชื่อดัง Michael Jackson เสียชีวิตลง ตามมาเป็นอันดับสอง

ดูดัชนีดังกล่าวได้ที่เว็บไซต์ของ Facebook

ที่มา บล็อกของ Facebook

Related Stories - http://www.blognone.com/node/14579
Social Media กับชีวิตส่วนตัวที่ต้องเสียไป
Submitted by molek on 9 January 2010 - 12:30 tags: Special ReportPrivacySocial Network
เรื่องราวเหล่านี้นำมาจาก blog ผมที่ http://molecularck.com ครับ เลยเอามาโพสที่นี่อีกรอบเพื่อเอามาแชร์ความคิดเห็นกันครับ

Social Media คำ ๆ นี้บางคนอาจจะยังไม่คุ้น แต่หากเอ่ยถึง Hi5, twitter, Facebook foursquare และ Youtube หรือแม้กระทั่ง blog แล้ว หลายคนต้องร้อง อ๋อ ขึ้นมาทันที เพราะบริการเหล่านี้เข้ามาในชีวิตเรา หรืออยู่รอบตัวเราแล้วในปัจจุบัน บริการด้าน Social Network นั้นทำให้ช่วยเราสะดวกสบายขึ้น ทำให้ได้เพื่อนมากขึ้น ได้สังคมใหม่ ๆ มากขึ้น และได้รับรู้ข้อมูล หรือแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้นแล้ว บริการ Social Media เหล่านี้ก็ทำให้สูญเสียอะไรไปหลาย ๆ อย่างที่คุณนึกไม่ถึงก็เป็นได้ ซึ่งสิ่งสำคัญที่ Social media ทำให้เสียไปคือชีวิตส่วนตัว

หลาย ๆ คนอาจจะบอก "เฮ้ย มันเป็นไปได้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ" ผมอยากบอกว่าเป็นไปได้ครับ ลองนึกภาพว่าคุณเป็นคนอยู่ในสังคม twitter หรือ Facebook แล้ววันหนึ่งคุณไปทานข้าว เดินเที่ยวกับเพื่อนหรือญาติ แต่ดันมีคนที่ใช้ twitter หรือ Facebook อยู่ แถวนั้นพอดี อีกทั้งยังอยู่ในวงเดียวกับคุณเห็นคุณเข้าโดยบังเอิญ แล้ว tweet เช่นนี้ออกไปหรือส่งข้อความแบบนี้ไปยัง Social Media อื่น ๆ

ข้อความดังกล่าวดูเหมือนจะไม่มีอะไร หากแต่ว่าข้อความนี้อาจสร้างความเข้าใจผิดแก่บุคคลรอบข้างของคนที่ถูกกล่าวถึง นี้ยังไม่รวมว่าคนที่ถูกถ่ายรูปไปด้วยตอนนั้นต้องการเปิดเผยตัวหรือไม่เปิดเผยตัว แต่การถ่ายรูปออกไปนั้นก็ทำให้ชีวิตส่วนตัวของคน (privacy) ที่ถูกระบุถึงหายไปแล้ว ซึ่งนี้ก็เปรียบได้กับการถ่ายรูปของ paparazzi ที่ถ่ายรูปดาราโดยไม่สนว่าเค้าจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม เพราะฉะนั้นการถ่ายรูปใครที่เรารู้จักในวง Social Media ก็ควรจะต้องถามก่อนว่า ให้ tweet บอกได้ไหมว่าอยู่ที่ไหนและเมื่อไหร่ เพราะบางครั้งบางเรื่องเราก็ไม่ได้อยากให้คนในโลกออนไลน์รู้ก็เป็นได้

กรณีของการ Retweet (RT) และ RT แล้วดัดแปลงหรือที่เรียกว่า modify retweet (mRT) ใน twitter แม้ว่าผู้ให้บริการอย่าง twitter จะออก feature ของการ RT ออกมาแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าคุณสมบัติดังกล่าวไม่ได้ตอบโจทย์ผู้ใช้คนไทยเนื่องจากคนไทยใช้การ RT เป็นการ Reply อีกทั้ง การใช้คุณสมบัตินี้ไม่สามารถดัดแปลงตามใจผู้ที่จะ RT ได้คนไทยจึงยังใช้ระบบการ RT manual เหมือนเดิม สิ่งที่เกิดขึ้นจากการ RT หรือ mRT คือการที่สารนั้นเกิดความผิดเพี้ยน ข้อความหาย หรือผิดความหมายไปจนอาจทำให้เข้าใจผิดได้ อย่างเช่นมีคน tweet ว่า

ก็มีคนนึกสนุก mRT ข้อความนี้เสียใหม่เป็น

หรือตัดข้อความบางส่วนทิ้งไปเนื่องจาก RT แล้วมันไม่พอ 140 ตัวอักษร

ซึ่งแค่นี้ก็ทำให้ข้อความหรือความหมายเพื้ยนได้ จากที่จะส่งความระบุหาใครบางคน แต่ข้อความนั้นกลับเอาไปโดนขยาย เปลี่ยนความหมาย หรือตัดความหมายทิ้งทำให้ การสื่อออกไป ทำให้คนที่อ่าน tweet เหล่านี้ที่ไม่มีความรู้เรื่อง mRT ก็อาจทำให้เข้าใจผิดต่อผู้ส่งได้ ซึ่งนี้เปรียบได้กับการสร้างเรื่องราวหรือแก้ไขเรื่องราวเพื่อใส่ความผู้ส่งข้อความก็ได้ เพราะฉะนั้นการเล่นอะไรก็ตามหรือการ RT ก็ตามก็ต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบในการกระทำตัวเอง หากข้อความนั้นสื่อออกไปแล้วทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ ความรับผิดชอบเหล่านั้นก็หมายถึงควรมีการระบุว่าข้อความที่ RT นี้ถูกดัดแปลงหรือถูกตัดข้อความออกไป ไม่ใช่ RT แต่ชื่อและข้อความของผู้ส่งสารข้างต้นมาอย่างเดียว

จากเรื่อง RT หรือ mRT นี้สิ่งที่ผมเจอมากกับตัวคือการใส่ #hashtag หรือป้ายบางอย่างที่อาจทำให้ตัวคนอ่านผู้อื่นเข้าใจผิดในข้อความเราได้ เอาตรง ๆ ก็คือ #hashtag #หื่น กันผมจะลองยกภาพง่าย ๆ

บางคนเห็นแล้ว นึกสนุกก็ RT แล้วเติมป้ายให้

หรือแม้กระทั่งการใช้ RT เพื่อ Reply แล้วบอกว่า หื่น หรือข้อความทำนองนี้ ก็ทำให้คนอื่น ๆ ที่เข้ามาอ่านที่ไม่ได้รู้จักคนที่ถูก RT ด้วยป้าย #หื่น หรือข้อความ Reply ที่มีคำนี้เข้าใจผิดได้ แม้ว่าเราไม่ได้เป็นดังนั้น แต่การแก้ตัวใด ๆ ใครก็ไม่เชื่อแล้ว เพราะคนที่ไม่รู้จักคนที่ถูกระบุถึงนั้นแก้ตัวเท่าไหร่ เค้าก็ไม่เชื่อ เพราะคนที่มาอ่านย่อมเชื่อคำพูดจากคนอื่นที่พูดถึงคนที่ถูกระบุมากกว่า

กรณีการพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับทางเพศ โดยเฉพาะผู้หญิง บางครั้งการพูดคุยเรื่องราวทางเพศ เป็นเรื่องราวตลก หรือขำขัน นั้นบางครั้งมันไม่เหมาะที่จะพูดคุยในหมู่คนวงกว้างที่มีคนสามารถเข้ามารับฟัง รับชมได้ เพราะบางคนนั้นไม่รู้ว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนเล่น ทำให้บางครั้งเกิดการใช้คำพูดที่ไม่ดีกับสตรีเพศได้ ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้ว มันก็จะติดตามคุณไปเรื่อย ๆ จนยากที่จะแงะออกจากชีวิตได้แล้ว นอกจากจะประจานกันไปข้างนึง เรื่องนี้จึงเปรียบกับการนั่งเมาท์เรื่องเพศตรงชุมนุมชนแล้วมีไอ้โรคจิตมาได้ยินแล้วติดตามตลอดได้ เรื่องแบบนี้ควรคุยเป็นกลุ่มคนที่ไว้ใจจริง ๆ มากกว่ามาเปิดเผย แต่หากคิดจะเปิดเผยแล้วก็ควรระวังมนุษย์ที่ไม่ดีด้วย

กรณีการถ่ายรูปอีกอย่างเช่นบางคนที่ชอบถ่ายรูปตัวเองส่งไปไหนมาไหน หรือชอบระบุว่าตัวเองอยู่ที่ใดอันนั้น เป็นการทำให้ตัวเองเสียชีวิตส่วนตัวด้วยตัวเองอย่างมาก เพราะการทำเช่นนั้นเป็นการเปิดเผยเรื่องราวว่าในแต่ละวันเราไปไหน ทำอะไร ซึ่งอาจจะไม่มีคนอยากรู้ก็ได้ แต่หากบางคนเป็นพวก Stalker Molester โรคจิต หรือคลั่งไคล่ในตัวเราติดตามไปทุกหนแห่งแล้ว เรื่องยุ่งยากก็อาจตามมาภายหลังมากมายก็ได้ เพราะฉะนั้นบางสถานที่เช่นบ้าน หรือที่ทำงาน สถานที่ต้องแวะเวียนบ่อย ๆ ก็ไม่ควรต้องระบุหรือถ่ายรูปเพื่อไม่ให้เกิดคนมิจฉาชีพติดตามมาได้

สุดท้ายในมือถือรุ่นใหม่ ๆ นั้นยังสามารถระบุว่าเราอยู่ใดก็ได้ หรือเราอยู่ละแวกใดของแผนที่ในเครื่องมือ หากว่าเราไม่ปิด location, GPS หรืออื่น ๆ ในมือถือ ซึ่งส่วนใหญ่มักตั้งค่าเปิดเป็น Default อยู่แล้ว ก็สามารถทำให้คนรู้ได้ว่า วัน ๆ คุณไปทำอะไรบ้าง อยู่ที่ไหนเมื่อไหร่ กี่โมง ซึ่งมันจะวนเข้าลูปของกรณีแรก ถ้าคนที่เห็นส่งข้อความว่า เจอคุณอยู่แถวไหนตามที่เห็นในมือถือ ข้อความแบบนี้ก็อาจจะทำให้คนสนิทหรือคนอื่น ๆ เข้าใจผิดได้ อย่างเช่น

แค่ข้อความแบบนี้คนก็คิดไปทางไม่ดีได้แล้ว แม้่ว่า location ที่ระบุนั้นอาจจะผิดพลาด หรือคนที่ถูกไม่ได้อยู่แถวนั้นเลยก็ตาม แต่ข้อความที่ส่งออกไปก็ไม่ได้มีการกรอง จนทำให้คนที่ถูกระบุเกิดความเสียหายแล้วก็ได้

ในยุคสมัยนี้ที่อินเทอร์เนตเพรียบพร้อม และเราสามารถเข้าถึงอินเทอร์เนตจากอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ ๆ นั้น แม้ว่าอินเทอร์เนตที่ทำให้เราใช้ Social Media เพื่อทำให้เรามีชีวิตดีขึ้นนั้น แต่หากการใช้นั้นเกิดความไม่ระมัดระวังจากตัวเอง หรือการขาดความรับผิดชอบจากผู้ใช้่ด้วยกันนั้น ก็จะทำให้เกิดโทษและชีิวิตส่วนตัวที่ต้องสูญเสียไป ซึ่งในเมืองนอกก็มีกรณีตัวอย่างให้เห็นหลายคดีที่ครอบครัวบางครอบครัวต้องแตกแยกกันจาก Social Media หรือการเข้าใจจากข้อความสั้น ๆ ผมจึงอยากฝากให้ทุกคนนั้นใช้เครื่องมือบริการเรานี้ โดยคำนึงถึงความถูกต้อง ความเป็นส่วนตัว นอกจากความสนุก ที่ใช้เพียงอย่างเดียวครับ

ที่มา - http://molecularck.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น